วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

ความเป็นมาของอินเตอร์เน็ต


ความเป็นมาของอินเตอร์เน็ต

         อินเตอร์เน็ต มีพัฒนาการมาจาก อาร์พาเน็ต (Arp Anet เรียกสั้น ๆ ว่า อาร์พา) ที่ตั้งขึ้นในปี 2512 เป็นเครือข่ายคอมพิวเคอร์ของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ที่ใช้ในงานวิจัยด้านทหาร (ARP : Advanced Research Project Agency)มาถึงปี 2515 หลังจากที่เครือข่ายทดลองอาร์พาประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้มีการปรับปรุงหน่วยงานจากอาร์พามาเป็นดาร์พา (Defense Advanced Research Project Agency: DARPA) และในที่สุดปี 2518 อาร์พาเน็ตก็ขึ้นตรงกับหน่วยกาสื่อสารของกองทัพ (Defense Communication Agency)ในปี 2526 อาร์พาเน็ตก็ได้แบ่งเป็น เครือข่ายด้านงานวิจัย ใช้ชื่ออาร์พาเน็ตเหมือนเดิม ส่วนเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต (MILNET : Millitary Network) ซึ่งมีการเชื่อมต่อโดยใช้โพรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet) เป็นครั้งแรกในปี 2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติของอเมริกา (NSF) ได้ ให้เงินทุนในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แห่ง และใช้ชื่อว่า NSFNETและพอมาถึงปี 2533 อาร์พารองรับภาระที่เป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ของระบบไม่ได้ จึงได้ยุติอาร์พาเน็ต และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายขนาดมหึมา จนถึงทุกวันนี้ และเรียกเครือข่ายนี้ว่า อินเตอร์เน็ต โดยเครือข่ายส่วนใหญ่จะอยู่ในอเมริกา และปัจจุบันนี้มีเครือข่ายย่อยมากถึง 50,000 เครือข่ายทีเดียว และคาดว่า ภายในปี 2543 จะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งโลกประมาณ 100 ล้านคน หรือใกล้เคียงกับประชากรในโลกทั้งหมดสำหรับประเทศไทยนั้น อินเตอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 2530-2535 โดยเริ่มจากการเป็นเครือข่ายในระบบคอมพิวเตอร์ระดับมหาวิทยาลัย (Campus Network) แล้วจึงเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2535และ ในปี 2538 ก็มี การเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ (รายแรก คือ อินเตอร์เน็ตเคเอสซี) ซึ่งขณะนั้น เวิร์ลด์ไวด์เว็บกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา อย่างไรก็ตาม อินเตอร์เน็ต บางครั้งก็มีการเรียกย่อเป็น เน็ต (Net) หรือ The Net ด้วยเช่นเดียวกัน อีกคำหนึ่งที่หมายถึงอินเตอร์เน็ตก็คือ เว็บ (Web) และ เวิร์ลด์ไวด์เว็บ (World – Wide Web) (จริงๆ แล้ว เว็บเป็นเพียงบริการหนึ่งของอินเตอร์เน็ตเท่านั้น แต่บริการนี้ ถือว่าเป็นบริการที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด


อินเทอร์เน็ต
           อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าโพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้
           อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหมประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน

การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
 การเชื่อมโยงโดยตรงด้วยเกตเวย์เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เข้ากับ Backbone ของอินเตอร์เน็ต โดยผ่านเกตเวย์ (Gateway) หรือ IP Router   สายสื่อสารความเร็วสูงมาก มักใช้กับองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงมาก การเชื่อมโยงต่อผ่านInternet Service Providers(ISP)เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ เข้าสู่อินเตอร์เน็ตโดยผ่านบริษัทผู้ให้บริการจัดสรรการเชื่อมโยง 



รูปแบบการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต 
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบใช้สาย (Wire Internet) 
         1. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตรายบุคคล (Individual Connection) การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตรายบุคคล คือ การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากที่บ้าน (Home user) ซึ่งยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตก่อนจากนั้นจะได้เบอร์โทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต รหัสผู้ใช้ (User name) และรหัสผ่าน(Password) ผู้ใช้จะเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตได้โดยใช้โมเด็มที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้หมุนไปยัง
หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต จากนั้นจึงสามารถใช้ งานอินเตอร์เน็ตได้


องค์ประกอบของการใช้อินเตอร์เน็ตรายบุคคล
              1. โทรศัพท์
              2. เครื่องคอมพิวเตอร์
              3. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะให้เบอร์โทรศัพท์ รหัสผู้ใช้และรหัสผ่าน
              4. โมเด็ม (Modem) 

          2. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบองค์กร (Corporate Connection) การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบองค์กรนี้จะพบได้ทั่วไปตามหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน หน่วยงานต่างๆ เหล่านี้จะมีเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN) เป็นของตัวเอง ซึ่งเครือข่าย LAN นี้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลา ผ่านสายเช่า (Leased line) ดังนั้น บุคลากรในหน่วยงานจึงสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลาการใช้อินเตอร์เน็ตผ่านระบบ LANไม่มีการสร้างการเชื่อมต่อ(Connection) เหมือนผู้ใช้รายบุคคลที่ยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ต



การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wireless Internet) 
    1. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สายผ่านเครื่องโทรศัพท์บ้านเคลื่อนที่ PCT เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Note book) และคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Pocket PC) ผู้ใช้จะต้องมี โมเด็มชนิด PCMCIA ของ PCT ผู้ใช้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตไร้ได้ ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลได้

            2. การใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือโดยตรง (Mobile Internet)
                   - WAP (Wireless Application Protocol) เป็นโปรโตคอลมาตรฐานของอุปกรณ์ไร้สายที่ใช้งานบนอินเตอร์เน็ต ใช้ภาษา WML (Wireless Markup Language) ในการพัฒนาขึ้นมา แทนการใช้ภาษา HTML (Hypertext markup Language) ที่พบใน www โทรศัพท์มือถือปัจจุบัน หลายๆยี่ห้อ จะสนับสนุนการใช้ WAP เพื่อท่องอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 9.6 kbps และการใช้ WAP ท่องอินเตอร์เน็ตนั้น จะมีการคิดอัตราค่าบริการเป็นนาทีซึ่งยังมีราคาแพง
                -  GPRS (General Packet Radio Service)    เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้โทรศัพท์มือถือสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง และสามารถส่งข้อมูลได้ในรูปแบบของมัลติมีเดีย ซึ่งประกอบด้วย ข้อความ ภาพกราฟิก เสียง และวีดิโอ ความเร็วในการรับส่งข้อมูลด้วยโทรศัพท์ที่สนับสนุน GPRS อยู่ที่ 40 kbps ซึ่งใกล้เคียงกับโมเด็มมาตรฐานซึ่งมีความเร็ว 56 kbps อัตราค่าใช้บริการคิดตามปริมาณข้อมูลที่รับ-ส่ง ตามจริง 
ดังนั้นจึงทำให้ประหยัดกว่าการใช้ WAP และยังสื่อสารได้รวดเร็วขึ้นด้วย
                  - โทรศัพท์ระบบ CDMA (Code Division Multiple Access) ระบบ CDMA นั้น สามารถรองรับการสื่อสารไร้สาย
ความเร็วสูงได้เป็นอย่างดี โดยสามารถทำการรับส่งข้อมูลได้สูงสุด 153 Kbpsซึ่งมากกว่าโมเด็มที่ใช้กับโทรศัพท์ตามบ้านที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เพียง56 kbps นอกจากนี้ ระบบ CDMA ยังสนับสนุนการส่งข้อมูลระบบมัลติมีเดียได้ด้วย
               - เทคโนโลยี บลูทูธ (Bluetooth Technology) เทคโนโลยีบลูทูธถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับการสื่อสารแบบไร้สาย โดยใช้หลักการการส่งคลื่นวิทยุ ที่อยู่ในย่านความถี่ระหว่าง 2.4 - 2.4 GHz ในปัจจุบันนี้ได้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้เทคโนโลยีไร้สายบลูธูทเพื่อใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆชนิด เช่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์พ็อคเก็ตพีซี 

         3. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโน้ตบุ๊ก(Note book) และ เครื่องปาล์ม (Palm) ผ่าน โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุนระบบ GPRS โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุน GPRS จะทำหน้าที่เสมือนเป็นโมเด็มให้กับอุปกรณ์ที่นำมาพ่วงต่อ ไม่ว่าจะเป็น Note Book หรือ Palm และในปัจจุบันบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้มีการผลิต SIM card ที่เป็น Internet SIM สำหรับโทรศัพท์มือถือเพื่อให้สามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น 

web 1.0


web 1.0

          web 1.0 ผู้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว ( Read-only ) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถที่สามารถแก้ไขข้อมูล หน้าตาของเว็บไซต์ได้เฉพาะผู้ดูแลเว็บไซต์ ( Webmaster )เป็นเว็บที่ผู้เข้าเยี่ยมชมไม่สามารถมีส่วนร่วมกับเว็บดังกล่าวได้ ถือว่าเป็นเว็บรุ่นแรกของเทคโนโลยีเว็บไซต์ ส่วนมากจะใช้ภาษา html เป็นภาษาสำหรับการพัฒนาweb 2.0 ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ ( Read-Write ) เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่พัฒนาต่อจาก web 1.0 เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ เช่น เว็บบอร์ด เว็บบล็อก วิพีเดีย เป็นต้น ซึ่งจะใช้ฐานข้อมูลมาเกี่ยวข้อกับเทคโนโลยีนี้ด้วย  web 3.0 ผู้ชมสามารถอ่าน เขียน จัดการ ( Read-Write-Execute ) คือจากที่ผู้เข้าไปใช้อ่าน และเพิ่มข้อมูล ผู้ใช้ก็สามารถปรับแต่งข้อมูลหรือระบบได้เองอย่างอิสระมากขึ้น สำหรับเมืองไทยนั้นจะนำเข้ามาใช้ในอนาคต เทคโนโลยีบางอย่างที่คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน web 3.0 ได้แก่ Artificial Intelligent (AI) เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือสมองกล,Semantic Web and SOA (Service-oriented architecture)เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต่างระบบกัน, 3D หรือ Web3D Consortium เป็นเว็บรูปแบบ มิติ, Composite Applications เป็นการผสมบริการระหว่างกัน เช่น การดึงบริการจากเว็บรูปแบบหนึ่งมาใช้งานในเว็บไซต์รูปแบบอื่นๆ ได้ด้วยเสมือนเป็นเว็ปไซต์เดียวกัน, Scalable Vector Graphic (SVG) เป็นเทคโนโลยีที่เมื่อเราจะย่อหรือขยายรูปภาพก็ไม่แตกเป็นเม็ดๆ,Semantic Wiki เป็นการแสดงข้อมูลของภาพที่เรากำลังอ่านอยู่, Metadata ( Data about Data)เป็นการอธิบายข้อมูลด้วยข้อมูลในเชิงสัมพันธ์กัน 

เว็บ 2.0


เว็บ 2.0 
          เว็บ 2.0 ( Web 2.0) มีความเชื่อมโยงกับโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ ซึ่งมีลักษณะส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันข้อมูล การพัฒนาในด้านแนวความคิดการออกแบบที่เน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางuser-centered design และ การร่วมสร้างข้อมูลในโลกของอินเทอร์เน็ตเวิลด์ไวด์เว็บ เว็บไซต์ที่ออกแบบโดยใช้หลักการของเว็บ 2.0 ทำให้กลุ่มผู้ใช้งานสามารถปฏิสัมพันธ์และร่วมมือกันในลักษณะของสื่อสังคมออนไลน์ โดยกลุ่มผู้ใช้งานเป็นผู้สร้างเนื้อหาขึ้นเอง ต่างจาก เว็บ 1.0 ที่กลุ่มผู้ใช้ถูกจำกัดบทบาทโดยทำได้แค่เพียงการเยี่ยมชม หรือดูเนื้อหาที่ผู้ใช้สนใจ สำหรับตัวอย่างของเว็บ 2.0 ได้แก่ บล็อก เครือข่ายสังคมออนไลน์ สารานุกรมเสรี วิดีโอแชริง โปรแกรมประยุกต์บนเว็บ แมชอัพส์ และ โฟล์คโซโนมี
       เว็บ 2.0"เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง หลังจากงานประชุม โอไรล์ลีย์มีเดียเว็บ 2.0 ที่จัดขึ้นในปี 2547  คำว่า "เว็บ 2.0" นั้นเป็นคำกล่าวเรียกลักษณะของเวิลด์ไวด์เว็บในปัจจุบัน ตามลักษณะของผู้ใช้งาน โปรแกรมเมอร์และผู้ให้บริการ ซึ่งตัวเว็บ 2.0 เองนั้นไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาทางด้านเทคนิคแต่อย่างใด แต่เป็นคำที่กล่าวถึงลักษณะโดยรวมที่ผู้พัฒนาเว็บเปลี่ยนแปลงวิธีการออกแบบเว็บไซต์ และผู้ใช้ปลายทางเปลี่ยนแปลงบทบาทการใช้งานเว็บ ทิม เบอร์เนิร์สลี ผู้เริ่มแนวความคิด และสร้างเวิลด์ไวด์เว็บ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะทางเทคนิคของเว็บ 2.0 นั้นเกิดขึ้นมานานกว่าคำว่า "เว็บ 2.0" จะถูกนำมาเรียกใช้ วิสัยทัศน์เริ่มแรกของเบอร์เนิร์ส ลี คือการสร้างสื่อที่เอื้อต่อการร่วมสรรค์สร้างของผู้ใช้งาน เป็นสื่อกลางที่ผู้ใช้งานไม่เพียงแต่รับ แต่สามารถร่วมแบ่งปันข้อมูลข่าวสารด้วย

Web 3.0


Web 3.0
        เป็นการนำแนวคิดของ Web 2.0 มาทำให้ Web นั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากๆ ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทุกวันนี้ผู้ใช้ทั่วไปที่เป็นผู้สร้างเนื้อหาได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่น การเขียน Blog, การแชร์รูปภาพและไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ ทำให้ข้อมูลมีจำนวนมหาศาล ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องมีความสามารถในการจัดการข้อมูลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเอาข้อมูลเหล่านั้นมาจัดการให้อยู่ในรูปแบบ Metadata หรือ ข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทำให้เว็บกลายเป็น Semantic Web หรือเว็บที่ใช้ Metadata มาอธิบายสิ่งต่างๆบนเว็บ ซึ่งในตอนนี้จะเห็นกันทั่วไปในรูปของ Tag นั่นเอง ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง Semantic Web คือ การรวมควบรวมกันของฐานข้อมูลแบบอัตโนมัติโดยใช้การคาดเดา และหลักทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วย ซึ่งผลลัพธ์ของ Application ที่สร้างขึ้นบน Semantic Web จะถูกส่งไปยังอินเทอร์เน็ต และส่งต่อไปยัง Web Browser เช่น Internet Explorer, Fire Fox เป็นต้น โดยเว็บเบราเซอร์ อาจจะถูกฝังตัวอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็นโทรทัศน์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งอุปกรณ์ที่ถูกฝังเว็บเบราเซอร์ไว้ในตัวนั้นส่วนใหญ่จะสามารถเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้
          ส่วน Tag คือ คำสั้นๆ หลายๆ คำ ที่เป็นหัวใจของเนื้อหา ทำให้สามารถเข้าถึงเนื้อหาอื่นๆ หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น แต่แทนที่ผู้ผลิตเนื้อหาจะต้องใส่ Tag เอง ตัวเว็บจะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น จากนั้นจะขึ้น Tags ให้ตามความเหมาะสมแทนโดยข้อมูลแต่ละ Tag จะมีความสัมพันธ์กับอีก Tag หนึ่งโดยปริยาย เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท Apple ก็จะมี Tag ที่เกี่ยวกับ Computer, iPod, iMac … และ Tag ที่มีเนื้อหา Computer ก็มี Tag ที่เชื่อมโยงกับ Tag ที่มีเนื้อหาด้าน Electronic โดย จะเชื่อมโยงแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้ข้อมูลมีการเชื่อมโยงกัน อินเทอร์เน็ตกลายเป็นฐานข้อมูลความรู้ขนาดใหญ่ ที่ข้อมูลทุกอย่างถูกเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น
แม้ว่าเว็บไซต์ใหญ่ๆ อย่าง Google, Amazon.com และ eBay ต่างก็ให้ความสนใจที่จะปรับเปลี่ยนไปใช้ Web 3.0 นอกจากนั้นก็ยังมีเว็บไซต์อีกมากที่จะปรับเปลี่ยนไปใช้ด้วยเช่นกัน เช่น WebEx, WebSideStory, NetSuite, Jamcracker, Rearden Commerce และ Salesforce.com รวมไปทั้ง Youtube, Flickr, MySpace หรือ del.icio.us เว็บไซต์ที่เป็น Web 3.0 ไม่ได้มีไว้ใช้งานเฉพาะเพื่อการช้อปปิ้ง ความบันเทิง หรือการค้นหาข้อมูลเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างแอพพลิเคชั่นสำหรับการทำธุรกิจในรูปแบบใหม่ได้ด้วย อีกทั้งยังจะเป็นการสร้างผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ในวงการออนไลน์ รวมทั้งยังสร้างผู้นำหน้าใหม่ ที่จะมามีอิทธิพลในอุตสาหกรรมออนไลน์ต่อไป

ความแตกต่างระหว่าง web 2.0 และ 3.0
ถ้าแบ่งยุคของ Internet ในตอนนี้อาจแบ่งได้ ยุค และเรากำลังก้าวไปสู่ยุดที่ ในไม่ช้านี้ ในยุดแรก Web 1.0 นั้นเป็นเรื่องของการที่ผู้ให้บริการนำเสนอข้อมูลให้กับบุคคลทั่วไป โดยทำในลักษณะเดียวกับหนังสือทั่วไป ที่ผู้อ่านมีส่วนร่วมน้อยมากในการเติมแต่งข้อมูล แต่ในยุคของ Web 2.0 บุคคลทั่วไปคือผู้สร้างเนื้อหา และนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ จาก Web 2.0 ในเปลือกนัท ทำให้เราเข้าใจว่าในยุคที่ นั้นเป็นเรื่องของการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง โดยการสร้างเสริมข้อมูลสารสนเทศ ให้มีคุณค่าและมีข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ดังตัวอย่างที่เป็นสิ่งที่ทุกคนคงรู้จักกันดีอย่าง Wikipedia ทำให้ความรู้ถูกต่อยอดไปอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลทุกอย่างได้มาจากการเติมแต่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกิดจากการคานอำนาจของข้อมูลของแต่ละบุคคลทำให้ข้อมูลนั้นถูกต้องมากที่สุด และจะถูกมากขึ้นเมื่อเรื่องนั้นถูกขัดเกลามาตามระยะเวลายาวนาน
วันนี้ Web 3.0 กำลังจะมา เป็นการนำแนวคิดของ Web 2.0 มาทำให้ Web นั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมาก ๆ โดยอย่างที่เรารู้กันดีว่าผู้ใช้ทั่วไปนั้นเป็นผู้สร้างเนื้อหาได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่นการเขียน Blog, การแชร์รูปภาพและไฟล์มัลติมีเดียต่าง ๆ ทำให้ข้อมูลมีจำนวนมหาศาล ทำให้จำเป็นต้องมีความสามารถในการข้อมูลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาจัดการให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทำให้เว็บกลายเป็น Sematic Web กล่าวคือเว็บที่ใช้ Metadata มาอธิบายสิ่งต่าง ๆ บนเว็บ ซึ่งในตอนนี้เราจะเห็นกันทั่วไปนั่นคือ Tag นั้นเอง โดยที่ Tag ก็คือคำสั้น ๆ หลาย ๆ คำ ที่เป็นหัวใจของเนื้อหา เพื่อทำให้เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ได้ด้วยการใช้ Tag ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แต่แทนที่ผู้ผลิตเนื้อหาจะใส่เอง แต่ตัว Web จะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น แล้วให้ Tags ตามความเหมาะสมให้เราแทน




อนาคต  web 3.0
1. Artificial Intelligence (AI) คือ เครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยคาดเดาพฤติกรรมของมนุษย์ ช่วยวิเคราะห์ความต้องการของมนุษย์ ซึ่งการคิดค้นเครื่องมือต่างๆ ขึ้นมามีวัตถุประสงค์เพื่อเข้ามาช่วยในการทำงานอย่างอัตโนมัติ
2. Automated Reasoning คือ การสร้างระบบคอมพิวเตอร์ให้มีการประมวลผลด้วยความชาญฉลาดสมเหตุสมผลอย่างอัตโนมัติ โดยใช้ตรรกะ และหลักการทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วยวิเคราะห์ และประมวลผล
3. Cognitive Architecture ถือเป็นแผนงานสำหรับ Intelligent Agents ด้วยการนำเสนอระบบประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่มีการทำงานเหมือนกัน มีรากฐานมาจากที่เดียวกัน โดยอาจจะสร้างเครื่องมือในโลกเสมือนขึ้นมาให้ใช้งานได้เหมือนกับการทำงานในโลกของความเป็นจริง เช่น การสร้างสมองกล (Computer) ขึ้นให้ใช้งานเหมือนกับสมองของคน (Brain) จริงๆ
4. Composite Applications เป็น Application ที่สร้างขึ้นมาจากการผสมผสานบริการ หรือ Application ที่ หลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน โดยเป็นบริการที่มาจากแหล่งต่างๆ ที่อาจจะเป็นบริการแบบเดียวกัน หรือต่างกันก็ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วจะสร้างประโยชน์ และประสิทธิภาพในการใช้งานให้เพิ่มมากขึ้น
5. Distributed Computing คือ การใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่อง ขึ้นไปที่สามารถสื่อสารถึงกันได้บนเครือข่ายเข้ามาช่วยกันประมวลผล โดยวิธีการประมวลผลของคอมพิวเตอร์จะใช้ส่วนที่แตกต่างกันของโปรแกรมเข้ามา ช่วยประมวลผลในการทำงาน ซึ่งอินเทอร์เน็ต ถือเป็นระบบเครือข่ายอย่างหนึ่ง และยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
6. Human-based genetic algorithms คือ กระบวนการที่อนุญาตให้มนุษย์สามารถสร้างโซลูชั่น หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาได้เอง ซึ่งทำให้มนุษย์สามารถเชื่อมโยงกันตั้งแต่แรกเริ่มสามารถเปลี่ยนแปลง และเกี่ยวพันถึงกันได้ โดยการเชื่อมโยงกันสามารถทำได้หลายรูปแบบ แล้วแต่ความต้องการ
7. Knowledge Representation เป็นวิธีการในโปรแกรมระบบที่ใช้การเข้ารหัสและเก็บความรู้ไว้ในฐานความรู้
8. Ontology Language หรือ OWL ย่อมาจาก Web Ontology Language คือภาษาที่ใช้อธิบายถึงข้อมูลในเว็บไซต์ในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ โดยดูจากความหมายของสิ่งนั้นๆ ซึ่งถือว่า OWL เป็นภาษากลางในการกำหนด metadata ให้กับเว็บไซต์แต่ละแห่ง ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
9. Scalable Vector Graphics (SVG) เป็นฟอร์แมต XML ที่นิยามวัตถุในภาพวาดด้วย point, path และ shape พื้นฐาน โดยมีสีฟอนต์ความกว้างของ stroke ฯลฯ เป็นสไตล์ของวัตถุ จุดประสงค์ของ SVG คือเป็นมาตรฐานที่ใช้ได้กว้างขวางในหลากหลายโปรแกรม
10. Semantic Web เป็น เว็บที่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายของข้อมูลที่อยู่บนหน้าจอของเว็บไซต์ช่วย ให้คอมพิวเตอร์สามารถค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ใหม่ให้กับข้อมูลที่มาจากแหล่งข้อมูลที่มาจาก แหล่งข้อมูลที่ต่างกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดเป็นฐานข้อมูลที่ถูกเชื่อมโยงกันทั่วโลก
11. Semantic Wiki สามารถ ให้ข้อมูลเฉพาะคำที่เราต้องการได้ ด้วยการใช้การอธิบายข้อมูลซ้อนข้อมูลอีกที รวมทั้งให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำที่เราต้องการ โดยข้อมูลที่นำมาอธิบายอาจจะมาจากเว็บอื่นๆ ไม่ได้มาจากฐานข้อมูลของเว็บนั้นเพียงอย่างเดียว
12. Software Agent เป็น โปรแกรมที่มีความสามารถในการกระทำ หรือเป็นตัวแทนในระบบอัตโนมัติต่างๆ อย่างมีเหตุผลเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เช่น เอเจนต์ในระบบขับรถอัตโนมัติ ที่มีเป้าหมายว่าต้องไปถึงเป้าหมายในระยะทางที่สั้นที่สุด ต้องเลือกเส้นทางที่ไปยังเป้าหมายที่สั้นที่สุดที่เป็นไปได้ จึงจะเรียกได้ว่า เอเจนต์กระทำอย่างมีเหตุผล อีกตัวอย่างเช่น เอเจนต์ในเกมหมากรุก ที่มีเป้าหมายว่าต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ ก็ต้องเลือกเดินหมากที่จะทำให้คู่ต่อสู้แพ้ให้ได้
หลังจากที่แนวคิดของ Web 2.0 ใช้ได้ผลอย่างจริงจังกับการเกิดบล็อกขึ้นมากมายหลาย 10 ล้านบล็อกและเกิดเว็บใหญ่ๆ ที่มี User's Content Driven อีกหลายแห่ง วันนี้จึงมีการหยิบยกทฤษฎีของ Web 3.0 มาพูดคุยกันบ้างแล้ว จากการที่ Web 2.0 จะ มีข้อมูลมากมายมหาศาลอย่างที่โลกนี้ไม่เคยพบมาก่อน ก็จะต้องมีการจัดการข้อมูลที่ดี ยุติธรรม และเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงเกิดเป็นแนวคิดหลักของทฤษฎี Web 3.0 ขึ้น

Web 4.0


Web 4.0
 WEB 4.0 หรือบางทีเขาเรียกกันว่า “A Symbiotic web” คือเว็บที่ทำงานแบบ Artificial Intelligence (AI) ที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น คอมพิวเตอร์สามารถคิดได้ มีความฉลาดมากขึ้นในการอ่านทั้งเนื้อหา ข้อความ และรูปภาพ หรืวีดีโอ สามารถที่จะตอบสนองหรืตัดสินใจได้ว่าจะ load ข้อมูลอะไรจากไหน ที่จะให้ประสิทธิภาพดีที่สุดมาให้ผู้ใช้งานก่อนก่อน  และนอกจากนี้ยังมีรูปแบบการนำมาแสดงที่รวดเร็ว เว็บ 4.0 จะทำให้เว็บ หรือข้อมูลต่างๆ สามารถทำงานได้แทบจะทุก Device หรืออาจจะช่วยระบุตัวตนที่แท้จริงของผู้ใช้เอง




 อย่างเช่น พวก GPS การใช้งานต่างๆ ที่สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ต่อไปเว็บอาจจะไม่ได้มองที่ข้อมูลที่มีอยู่ แต่อาจจะมองไปในเชิงของ กิจกรรม ที่ผู้ใช้คนนั้นๆ กำลังทำ หรือกำลังหา WEB 4.0 อาจจะกลายเป็นเสมือนเลขาส่วนตัวที่สามารถติดตามเราไปได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองก็ไม่กล้าฟันธงว่า ระบบอย่างพวก 4-Square หรืออีกหลากหลายระบบโปรแกรมบนมือถือ ตอนนี้ได้ก้าวเข้ามาสู่ รุ่นของ WEB 4.0 กันหรือยัง เพราะอย่าง 4-Square นั้น ถ้าเราไป Check-in ที่ไหน ก็จะมีความสามารถในการบอกว่า เพื่อนเราใครเคยมาที่นี่ ละแวกนี้มีร้านอะไร ใครแนะนำยังไง ...ซึ่งผมว่า ทำได้ขนาดนี้ ตอนนี้ก็ถือว่า หล่อพอควรเลยทีเดียว

แนวโน้มของเทคโนโลยีเว็บในอนาคต (Web 4.0)
หรือที่เรียกกันว่า “A Symbiotic web” (Ubiquitous Web) คือ web ที่มีทำงานแบบ Artificial Intelligence (AI) หมายถึง การสร้างให้คอมพิวเตอร์ให้สามารถคิดได้ (Human mind & Machines หรือ Human & Robot coexistence) มีความฉลาดมากขึ้น ในการอ่านทั้งเนื้อหา (text) และรูปภาพ (graphic) และสามารถตอบสนองด้วยการคำนวณ หรือ สามารถตัดสินใจได้ว่าจะ load ข้อมูลใดที่จะให้ประสิทธิภาพดีที่สุดมาให้ก่อน  และมีรูปแบบการนำมาแสดงที่รวดเร็ว





iGoogle


iGoogle 
iGoogle หรือแรกเริ่มเดิมที ชื่อว่า Google homepage หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ
        Google Personalized Home Page ซึ่งเป็นบริการหน้า Home Page ฟรีของ Google ที่ให้เราเลือกเนื้อหาต่างๆ ต่อไปนี้มาวางได้ เช่น ข่าว เกม RSS จากเว็บไซต์หรือ Blog ที่เราต้องการทราบข้อมูลข่าวสารอยู่เป็นประจำ และฟีเจอร์พิเศษที่เราสามารถปรับแต่งและใส่เนื้อหาได้เอง ที่เรียกว่า Gadgets เช่น เราสามารถจะใส่รูปแบ่งให้คนอื่นดู แสดงวีดิโอจาก YouTube Video หรืออาจจะแสดงปฏิทิน พยากรณ์อากาศ นาฬิกาบอกเวลาและวันที่และอื่นๆตามที่เราต้องการ
         iGoogle ก็เหมือนกับหน้าเว็บไซต์ Google (ที่ใช้สำหรับค้นหาข้อมูล)แต่ว่าเป็นหน้าของเราเอง(ก็ฉันไง!) ซึ่งไม่ได้มีไว้เพียงแค่ค้นหาเพียงอย่างเดียว แต่เราสามารถปรับแต่งหน้านั้นอย่างไรก็ได้ แล้วแต่เราพอใจ คือนอกจากที่เราจะสามารถเลือกเนื้อหามาแสดงได้แล้ว รูปร่างหน้าตาของเจ้าเว็บ iGoogle เราก็สามารถปรับแต่งได้ด้วย เช่น เราชอบใช้ภาษาไทย เราก็ให้มันแสดงเป็นภาษาไทยได้ เปลี่ยนธีม(Theme) หรือรูปร่างหน้าตาทั้งเว็บได้ด้วย




           นอกจากนั้น iGoogle ยังเปิดให้ใช้ Theme ของ U.S. ได้ และปัจจุบันก็สามารถใช้งานกับภาษาต่างๆ ได้ทั่วโลกถึง 117 ภาษา ซึ่งในการปรับแต่งต่างๆ นั้น เราต้องมีบัญชีของ Google หรือ Gmail
iGoogle เป็นหน้าแรกที่สามารถกำหนดเองได้
      iGoogle ช่วยคุณสร้างหน้าแรกในแบบของคุณโดยมีช่องค้นหา Google อยู่ที่ด้านบน และ Gadget ตามจำนวนที่คุณเลือกที่ด้านล่าง Gadget มีหลากหลายรูปแบบและเป็นช่องทางในการเข้าถึงกิจกรรม รวมทั้งข้อมูลต่างๆ จากทั่วทั้งเว็บ โดยที่ไม่ต้องออกจากหน้าเว็บ iGoogle เลย คุณสามารถใช้ Gadget เพื่อทำสิ่งต่างๆ ได้ดังนี้
  • ดูข้อความ Gmail ล่าสุดของคุณ
  • อ่านพาดหัวข่าวจาก Google News และแหล่งข่าวชั้นนำอื่นๆ
  • ตรวจดูพยากรณ์อากาศ ราคาหุ้น และเวลาฉายภาพยนตร์
  • จัดเก็บบุ๊กมาร์กเพื่อให้เข้าถึงไซต์โปรดของคุณได้อย่างรวดเร็วจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้
  • ออกแบบ Gadget ของคุณเอง


รูปแบบของ iGoogle
มุมมองเต็มหน้าจอสำหรับ Gadget
มุมมองเต็มหน้าจอสามารถใช้ได้กับ Gadget ที่เป็นที่นิยมที่สุดของเราบางตัว คุณสามารถดู Gadget ในมุมมองเต็มหน้าจอได้สองวิธี:
  • คลิกที่ชื่อของ Gadget ในการนำทางด้านซ้าย
  • คลิกไอคอนขยายใหญ่สุดที่มุมขวาด้านบนของ Gadget

    การนำทางด้านซ้ายและการแชท
    คุณจะเห็นรายการแท็บของคุณที่ด้านซ้ายของหน้าเว็บ iGoogle ของคุณ ที่ด้านล่างของแท็บของคุณ คุณสามารถแชทกับเพื่อนคนใดก็ได้ในเครือข่าย Google Talk (เรียนรู้เพิ่มเติมการคลิกที่แท็บใดก็ตามจะเป็นการเปิดแท็บนั้น หากคลิกที่เครื่องหมายบวกถัดจากแท็บ รายการ Gadget ทั้งหมดในแท็บนั้นจะปรากฏขึ้น
    การดูแท็บด้วยวิธีการนี้จะช่วยให้คุณสามารถมองเห็นเนื้อหาทั้งหมดของแท็บโดยที่ไม่ต้องไปที่แท็บ และสามารถเปิด Gadget จากแท็บใดๆ ก็ได้ในคลิกเดียว (การคลิกที่ Gadget ใดก็ตามในรายการจะเป็นการเปิด Gadget นั้นในมุมมองเต็มหน้าจอ)

    ทวิตเตอร์ (Twitter)


    ทวิตเตอร์  (Twitter)
           เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จำพวกไมโครบล็อกโดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ หรือทวีต(tweet - เสียงนกร้อง) ทวิตเตอร์ก่อตั้งขึ้นโดย แจ็ก คอร์ซีย์ ,บิซ สโตน และ อีวาน วิลเลียมส์ เจ้าของบริษัท Obvious Corp ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2006 ข้อความอัปเดตที่ส่งเข้าไปยังทวิตเตอร์จะแสดงอยู่บนเว็บเพจของผู้ใช้คนนั้นบนเว็บไซต์และผู้ใช้คนอื่นสามารถเลือกรับข้อความเหล่านี้ทางเว็บไซต์ทวิตเตอร์,อีเมลเอสเอ็มเอสเมสเซนเจอร์ (IM), RSS, หรือผ่านโปรแกรมเฉพาะอย่าง TwitterificTwhirl ปัจจุบันทวิตเตอร์มีหมายเลขโทรศัพท์สำหรับส่งเอสเอ็มเอสในสามประเทศ คือ สหรัฐอเมริกาแคนาดา และสหราชอาณาจักร
        ตัวระบบซอฟต์แวร์ของทวิตเตอร์ เดิมพัฒนาด้วย Ruby on Rails จนเมื่อราวสิ้นปี ค.ศ. 2008 จึงได้เปลี่ยนมาใช้ภาษา Scala บนแพลตฟอร์มจาวาปี 2009 ทวิตเตอร์ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างมาก


     ตัวอย่างหน้าทวิตเตอร์ของผู้ใช้รายหนึ่งซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมที่คนทั่วไปรู้จักกันดี          

                 
                                              ตัวอย่างหน้าทวิตเตอร์รูปแบบใหม่ของผู้ใช้รายหนึ่ง   เริ่มใช้ในปีค.ศ. 2012                                                                                                                     

    Twitter ได้เปลี่ยนแปลง Search module และ Discovery module คือ เปลี่ยน
    แปลง การค้นหา” และ การค้นพบ  โดยผู้จัดการฝ่าวิศวกรรมของ Twitter Pankaj Gupta ทวีตออกมาว่า ฟังก์ชั่นใน การค้นหา และ กาค้นพบ” เป็นสิ่งสำคัญของบริการแนวนี้หลายต่อหลายครั้งที่เราพบว่า บทสนทนาของคนบน Twitter นั้นมีค่ามากกว่าบน  Google search เพราะเราจะเห็นบทสนทนาคของคนโต้ตอบไปมาแบบสดๆ ในขณะเดียวกัน

          ส่วนของ การค้นพบ” ก็สำคัญ เพราะการออกแบบให้ค้นพบข้อมูลที่ตรงกับความต้องการได้ง่ายจะทำให้ผู้ใช้ต้องการที่จะอยู่กับบริการแบบ Twitter นานขึ้น (อย่างเช่น ในส่วนของการค้นพบ จะมีกาแนะนำคนที่คุณควร Follow ในประเทศที่คุณอยู่ แถมแบ่งเป็นหมวดหมู่ให้คุณเลือกได้เต็มที่อีกด้วย ว่าจะ follow คนในวงการเมือง วงการบันเทิง นักเขียน ฯลฯ)


    ผลการค้นหา แสดงชื่อจริง และชื่อผู้ใช้: เมื่อคุณค้นหาชื่อคนเช่น  ‘patee sarasin’ ก็จะเห็นผลการค้นหาที่มีการกล่าวถึงดุ๋ง พาที รวมถึง Twitter account @Patee122แต่พอลองค้นหาด้วย พาที สารสิน” อันนี้ไม่เจอ
    อาจเป็นเพราะคนไทยมักไม่ใส่คำอธิบายตัวเองเป็นไทยก็ได้

             สิ่งที่ Twitter ปรับปรุงก็คือส่วนของการค้นหาที่จะเติมคำค้นหาได้แบบอัตโนมัติ เหมือนที่เราเจอบน Google รวมถึงการแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคนที่คุณติดตามอยู่  (People you follow) รวมถึงการแนะนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง การแก้ไขตัวสะกด และผลการค้นหาที่ดีขึ้น โดยมีผลทั่วโลในทันที แต่ฟังก์ชั่นบางอย่างอาจจะยังไม่รวมถึงภาษาไทย (เพราะคนไทยยังไม่ค่อยนิยมใช้ Twitter กันมากนัก)

    Social Media


     Social Media
            Multiplyคือ Blog หรือเว็บไซต์อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งให้บริการฟรีโดย Multiply สามารถจัดการเรียบเรียงเรื่องราวใหม่ๆ ลงสู่อินเทอร์เน็ตได้เราสามารถนํา Multiply มาทำเป็ นลักษณะของไดอารี่ออนไลน์ได้โดยจะเปนการเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ได้ไม่มีขอบเขตจำกัด สามารถนำรูปภาพวิดีโอ พร้อมทั้งบันทึกผ่านออนไลน์ ได้พร้อมกันนั้นยั้งสามารถ Comment เรื่องราวต่างๆที่ผู้เขียนเขียนขึ้นได้อีกด้วยรวมถึงมีสมุดเยี่ยมบนออนไลน์ให้ทุกๆ คนได้มีความสนุกสนานกับการเข้าเยี่ยมชม




      ความเป็นมา
         Multiply  เป็นเว็บไซต์ได้เปิดตัวมีนาคม 2004 และเป็น บริษัท เอกชนด้วยการสนับสนุนโดย VantagePoint Venture Partners,จูดิธ พอยต์ Capital , Transcosmos และนักลงทุนเอกชน  คูณมีมากกว่า 11 ล้านผู้ใช้ที่ลงทะเบียน  บริษัท ตั้ง headquarterd ใน Boca Raton, ฟลอริด้า . multiplyมี 3.5 ล้านราย / เดือน ผู้เข้าชมที่ไม่ซ้ำกันของสหรัฐฯ



    การเริ่มต้นสร้างBlog ด้วย Multiply
           เราสามารถเป็นเจาของBlog ด้วยวิธีการง่ายๆ โดยใช้ Multiply ดังนี้
          1. เข้าสู่เว็บไซต์ URL : http://multiply.com จะปรากฏหนาจอดังภาพที่1
          2. จากภาพที่ 1 ในส่วนที่เขียนว่า สมัครฟรี ให้กรอกรายละเอียดลงไปเพื่อทำการ Register 



    หน้าจอของ Blog ส่วนตัวที่ได้ทำการสมัครไว้ สังเกตุที่ช่อง URL จะเป็นเว็บบล็อกส่วนตัวของเราใน Multiply จากตัวอย่าง จะได้ URL :http://am1991.multiply.com


    การแบ่งปันภาพถ่าย
          Multiply มีเครื่องมือการอัปโหลดอัตโนมัติซึ่งจะอัพโหลดภาพถ่ายของคุณลงใน Locker สื่อของคุณจะถูกเก็บไว้จนกว่าคุณจะเลือกที่จะแบ่งปัน สำหรับผู้ใช้พรีเมี่ยมที่เป็นต้นฉบับขนาดเต็มจะถูกเก็บไว้อย่างไม่มีกำหนด 

    การสร้างอัลบั้มรูปภาพ ลงในบล็อค
        มีวิธีการสร้างอัลบั้มรูปภาพง่ายๆ ตามลำดับขั้นตอนดังนี้
       1. คลิกปุ่ม Add Photo
       2. เลือก HTML
       3.upload รูปภาพที่ต้องการโดยคลิกที่ปุ่ม Browse..
       4. ตั้งชื่ออัลบั้ม และคำอธิบาย
       5. ปรับแต่งเฟรม
       6. บันทึก





           บัญชีทั้งหมดของmultiplyรวมถึงความสามารถที่จะเพิ่มได้ไม่ จำกัด จำนวนภาพถ่าย นอกเหนือไปจากความสามารถในการแบ่งปันภาพถ่ายกับรายชื่อใน Multiply ผู้ใช้ยังสามารถให้สมาชิกที่ไม่ใช่ Multiply เห็นแม้แต่รูปถ่ายส่วนตัวของพวกเขาโดยการใช้ร่วมกัน "" ลิงค์

    การนำวิดีโอขึ้นบล็อก
          ผู้ใช้สามารถอัพโหลดวิดีโอโดยตรงไปที่multiplyหรือพวกเขาสามารถดึงวิดีโอจาก YouTube, Photobucket, Google Video, Metacafe, หรือ myspacetv.com ผู้ใช้สามารถอัปโหลดฟรีได้ถึง 10 นาที (หรือ 100MB ของภาพวิดีโอ) สมาชิกพรีเมี่ยมที่มีการ จำกัด ถึง 20 นาที (หรือ 200MB)




    วิธีการนำวิดีโอขึ้นบล็อก
            มีวิธีการสร้างอัลบั้มรูปภาพง่ายๆ ตามลำดับขั้นตอนดังนี้
            1. คลิกปุ่ม Add Video
            2. เลือกไฟล์วิดีโอที่ต้องการ โดยสามารถ upload จากเครื่อง หรือเว็บก็ได้ หรือหากต้องการอัด สดๆ ณ ขณะนั้นก็ได้
            3.ตั้งชื่ออัลบั้ม และคำอธิบาย
            4. บันทึก 






            กรณีที่ต้องการนำวิดีโอจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่สนใจมาเข้าสู่บล็อกของเราก็สามารถทำได้ โดยเมื่อเรา เลือกเข้าสู่การ Add Video ให้เราเลือกส่วนที่เป็น Import Video ในตัวอย่างนี้จะเลือก Import จาก you tube 

    การเขียนบล็อก
         Multiply ผู้ใช้สามารถตั้งค่าส่วนตัวบนพื้นฐานการโพสต์ต่อทำให้ผู้ใช้เป็นหลักในการเรียกใช้บล็อกส่วนตัวสำหรับเพื่อน ๆ และครอบครัวที่ด้านบนของหรือฝังอยู่ภายในบล็อกสาธารณะ
            โพสต์บล็อกใน Multiply รวมถึงความสามารถของการเปลี่ยนแบบอักษรลักษณะประเภทของสีหรือขนาด ภาพถ่ายที่สามารถเพิ่มและย้ายภายในเกี่ยวกับการโพสต์ แบบสำรวจความคิดเห็นและสามารถแนบ ไฟล์ ผู้ใช้สามารถใช้ Multiply ของ WYSIWYG บล็อกแก้ไขหรือแก้ไข HTML โดยตรง